admin |
2011-06-25 07:21 |
เก็งข้อสอบ กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสืบสวนข้อเท็จจริง,ประมวลจริยธรรม
๑.ประกาศในราชกิจจาฯวันที่ ๑๔ ธ.ค.๔๗ มีผล ๑๕ ธ.ค.๔๗ กรณีมีการตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงก่อนวันที่ ๑๕ ธ.ค.๔๗ ให้ใช้วิธีการหลักเกณฑ์วิธีการเดิมไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ ๒.การสืบสวนข้อเท็จจริง หมายถึง ๒.๑ การแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐาน ๒.๒ ซึ่งผู้มีหน้าที่สืบสวนข้อเท็จจริงได้ทำไปตามอำนาจและหน้าที่ ๒.๓ เพื่อทราบรายละเอียดแห่งพฤติการณ์และการกระทำนั้นว่าเกิดจากการกระทำของข้าราชการตำรวจที่ (๑)มีเหตุอันควรสงสัย หรือ (๒) ถูกกล่าวโทษว่าทำผิดวินัยหรือไม่ประการใด ๓.การเริ่มดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริง โดยผู้บังคับบัญชาระดับสารวัตรขึ้นไป หรือจเรตำรวจ โดยการดำเนินการเองหรือตั้งคณะกรรมการฯ หรือสั่งผู้ใดให้สืบสวนข้อเท็จจริง กรณีดังนี้ ๓.๑ มีการร้องเรียนกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจผู้ใดกระทำผิดวินัย หรือ ๓.๒ ผู้บังคับบัญชามีสงสัยว่าข้าราชการตำรวจผู้ใดกระทำผิดวินัย ๓.๓ ส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่น แจ้งมาตำรวจในบังคับบัญชาทำผิดหรือสงสัยว่าทำผิดวินัย ๒.๔ มีบัตรสนเท่ห์เฉพาะมีการระบุข้อเท็จจริง พยานหลักฐานแวดล้อมและระบุพยานบุคคล,พยานวัตถุหรือพยานเอกสารชี้แนะแนวทางพอที่สะสืบสวนได้ ๒.๕ปรากฏข่าวในสื่อมวลชนเฉพาะมีการระบุข้อเท็จจริง พยานหลักฐานแวดล้อมและระบุพยานบุคคล,พยานวัตถุหรือพยานเอกสารชี้แนะแนวทางพอที่สะสืบสวนได้ ๒.๖ กรณีอื่นๆที่ ผู้บังคับบัญชาหรือจเรตำรวจเห็นควรให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริง ๔.เมื่อผู้มีอำนาจสั่งแล้ว ห้ามมิให้สั่งให้สืบสวนฯเรื่องเดียวกันอีก ถ้าผู้บังคับบัญชาโดยตรงสั่งตั้งแล้ว และมีหน่วยอื่นที่มีอำนาจสืบสวนด้วย ให้หน่วยอื่นนั้นงดสืบสวนเรื่องนั้นแล้วนำสิ่งที่ได้สิบสวนมาแล้วมาเข้าสำนวนที่ผู้บังคับบัญชาสั่งตั้ง ๕.ข้อห้ามมิให้ผู้สั่ง(ยกเว้นนายกฯ)และคณะกรรมการฯเป็นบุคคลดังต่อไปนี้ (๑)รู้เห็นเหตุการณ์ที่จะสืบสวน(รู้เห็นในลักษณะมีส่วนร่วมกระทำ) (๒)มีส่วนได้เสียในเรื่องที่จะสิบสวน (๓)มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ถูกสืบสวน (๔)เป็นผู้ร้องเรียนกล่าวหา หรือเป็นคู่สมรส บุพการี ผู้สืบสันดานหรือพี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดากับผู้ร้องเรียนกล่าวหา ๖.การสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการฯหรือสั่งให้ผู้ใดสืบสวนฯมีสาระสำคัญตามแบบ สส.๑ ๗.คำสั่งมีผลและการดำเนินการของผู้สั่ง (๑) กรณีรู้ตัวผู้ถูกกล่าวหา -แจ้งคำสั่งผู้ถูกกล่าวหาทราบโดยเร็ว -ให้ผู้ถูกกล่าวหาลงชื่อรับทราบ วันลงชื่อถือเป็นวันทราบคำสั่ง -มอบสำเนาคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหา ๑ ฉบับ -กรณีไม่ยอมรับหรือแจ้งไม่ได้ส่งทางไปรษณีย์ตอบรับ ถือว่ารับทราบเมื่อพ้น ๑๕ วันนับแต่ส่ง -แจ้งไปด้วยให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องที่ถูกกล่าวหาให้ปรานกรรมการทราบใน ๑๕ วันนับแต่ทราบคำสั่ง (๒) ส่งสำเนาคำสั่งให้คณะกรรมการทราบ สำหรับประธานหรือผู้สืบสวนฯส่งทั้งสำเนาคำสั่งและเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อด้วย ๘.คณะกรรมการหรือผู้สืบสวนฯมีหน้าที่ (๑)สืบสวนไปตามหลักเกณฑ์วิธีการกำหนดเวลา (๒)รวบรวมประวัติผู้ถูกกล่าวหา (๓)บันทึกการสืบสวน (๔)ห้ามบุคคลอื่นเข้าร่วมทำการสืบสวน ๙.คณะกรรมการฯต้องดำเนินการดังนี้ (๑)ดำเนินการตาม ๘. (๒) ประธานเรียกประชุมคณะกรรมการวางแนวทาง (๓)การประชุมพิจารณาพยานหลักฐานและประชุมลงมติกรรมการต้องมาไม่น้อยกว่า ๓ คน และไม่น้อยว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด (๔) การลงมติถือเสียงข้างมาก เท่ากันประธานชี้ขาด ๑๐.ระยะเวลาการสืบสวน (๑)เร็วที่สุด โดยไม่เกิน ๖๐ วันนับแต่ทราบคำสั่ง ไม่เสร็จขอขยายไปยังผู้สั่ง ห้ามขยายออกไปอีกเกิน ๖๐ วัน หากจำเป็นอีกต้องขอขยายไปยังผู้บังคับบัญชาเหนือผู้สั่งหนึ่งชั้นได้ไม่เกิน ๖๐ วัน (๒)กรณีสรุปสำนวนแล้วผู้สั่งให้ควรให้สืบสวนเพิ่มเติม ต้องสืบสวนให้เสร็จใน ๓๐ วัน ไม่เสร็จขอขยายได้ไม่เกิน ๓๐ วันตามความจำเป็น หากจำเป็นจะขยายอีกต้องขอต่อผู้บังคับบัญชาเหนือชั้นได้อีกไม่เกิน ๓๐ วัน ๑๑.คณะกรรมการเห็นว่าไม่มีมูลสรุปความเห็นให้ยุติ เห็นว่ามีมูลควรกล่าวหาว่าทำผิดวินัยสรุปพยานหลักฐานตามแบบ สส.๒ ให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ และถามว่ากระทำตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ หากสารภาพต้องแจ้งว่าเป็นความผิดวินัยกรณีใดมาตราใด หากยังคงรับสารภาพบันทึกถ้อยคำไว้รวมทั้งเหตุผลในการรับ หากไม่รับฯหรือรับบางส่วน ให้สอบถามว่าจะชี้แจงเป็นหนังสือหรือไม่ ให้โอกาสชี้แจงหรือนำเสนอพยานหลักฐาน ๑๒.กรณีผู้ถูกกล่าวหาไม่มารับทราบหรือมาแต่ไม่ยอมลงชื่อรับทราบข้อกล่าวหาให้บันทึกสาระสำคัญตามแบบ สส.๒ ให้ส่งทางไปรษณีย์ตอบรับโดยทำ ๓ ฉบับส่งไป ๒ ฉบับ เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาลงชื่อและส่งกลับ ๑ ฉบับ หากล่วงพ้น ๑๕ วันแล้วไม่ได้รับ สส.๒ คืนหรือไม่ได้รับคำชี้แจง หรือไม่มาพบกรรมการให้ถือว่าผู้ถูกกล่าวหาได้ทราบเรื่องรายละเอียดตามข้อกล่าวหาแล้วและไม่ประสงค์แก้ข้อกล่าวหา ๑๓.วิธีการสอบปากคำ (๑) การสอบปากคำผู้ถูกกล่าวหา,พยานใช้แบบ สส.๓,สส.๔ ตามลำดับ (๒) กรรมการไม่น้อยกว่า ๒ คน (๓)ก่อนเริ่มถามคำให้การต้องแจ้งว่ากรรมการเป็นเจ้าพนักงานตาม ป.อาญา (๔) ห้ามล่อลวง ขู่เข็ญ ให้สัญญาหรือกระทำการใดเป็นการจูงใจให้ให้ถ้อยคำ (๕) สอบปากคำได้ทีละคน ห้ามผู้อื่นอยู่ด้วยยกเว้นทนายความหรือที่ปรึกษาของผู้ถูกกล่าวหา (๖) บันทึกเสร็จต้องอ่านให้ฟังหรือให้อ่านเอง แล้วลงชื่อไว้เมื่อรับว่าถูกต้อง ผู้ร่วมฟังลงชื่อไว้ด้วย และลงชื่อกรรมการทุกคน (๗) ผู้ลงชื่อไม่ได้นำ ป.พ.พ.ม.๙ มาใช้ ๑๔.พยานหลักฐานไม่จำเป็นและไม่ใช่ประเด็นสำคัญจะทำให้สำนวนล่าช้า งดสืบได้แต่ต้องบันทึกเหตุไว้ และสามารถส่งประเด็นไปให้หัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสืบสวนแทนได้ ๑๕.คณะกรรมการเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาทำผิดวินัยอื่นด้วยหรือพาทพิงถึงข้าราชการตำรวจอื่นมีส่วนร่วมให้เสนอผู้สั่ง ๑๖.กรณีมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าผู้ถูกกล่าวหาทำผิดหรือต้องรับผิด ถ้าข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาประจักษ์ชัด ถือเอาคำพิพากษาเป็นพยานหลักฐานโดยไม่ต้องสืบสวนต่อไปก็ได้ ๑๗.การสรุปรายงานการสืบสวน (๑) กรณีมีมูลความผิดวินัยร้ายแรงให้เสนอแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง (๒) กรณีมีมูลว่าทำผิดวินัยไม่ร้ายแรงให้เสนอว่าผิดกรณีใด มาตราใด ควรรับโทษสถานใด (๓)มีมูลอันเป็นความผิดอาญา หรือรับผิดทางแพ่งอยู่ด้วยหรือไม่ (๔) ทำรายงานเสนอไปยังผู้สั่งตั้งตามแบบ สส.๕ ๑๘.ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิคัดค้านเหตุตามข้อห้าม (ตาม ๕)ไปยังผู้สั่งตั้ง ต้องทำใน ๗ วันนับแต่วันรับทราบคำสั่ง โดยคัดค้านเป็นหนังสือแสดงข้อเท็จจริงว่าจะไม่ได้ความจริงหรือไม่ยุติธรรมอย่างไร และต้องพิจารณาสั่งการโดยไม่ชักช้าแต่ไม่เกิน ๓๐ วันนับแต่ได้รับหนังสือคัดค้าน กรณีไม่พิจารณาข้อคัดค้านให้เสร็จในเวลา ๓๐ วัน ถือว่าผู้ถูกคัดค้านพ้นจากหน้าที่กรรมการสืบสวนหรือผู้สืบสวนแต่ไม่กระทบถึงสิ่งที่ทำไปแล้วก่อนหน้านั้น ๑๙.ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธินำทนายความหรือที่ปรึกษาได้ไม่เกิน ๑ คน มาร่วมรับฟังการสอบปากคำตนได้หรือให้ถ้อยคำแทนตนได้ ๒๐.การนับเวลาเริ่มต้น นับถัดจากวันแรกแห่งเวลานั้น ส่วนการขยายนับต่อจากวันสุดท้ายแห่งเวลาเดิม หากวันสุดท้ายตรงวันหยุดราชการให้นับวันเริ่มเปิดทำการเป็นวันสุดท้าย
|
|